วันเสาร์ที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2556
เทคนิคการสอนที่ดี
บัญญัติ 10 ประการของการสอนที่ดี
ศาสตราจารย์ ริชาร์ด เลอบลอง อาจารย์มหาวิทยาลัยยอร์ค (York University) ในแคนาดา ได้รับรางวัลการสอนยอดเยี่ยม เขาได้เปิดเผยเทคนิควิธีการสอนและการปฏิบัติตนที่ดี 10 ประการสำหรับครู ดังนี้
1. ให้ความรักแก่นักเรียน พร้อมๆ ไปกับเนื้อหาวิชาเรียน ครูควรแนะนำวิธีเรียนรู้ให้แก่เด็ก ดูแลและเอาใจใส่นักเรียน เหมือนกับการสร้างงานฝีมือขึ้นสักชิ้นที่เต็มไปด้วยอารมณ์และความรู้สึก ทำให้การเรียนการสอนนั้นมีความหมายขึ้นมาจนเกิดเป็นความผูกพันระหว่างครูกับศิษย์
2. สอนให้นักเรียนเชื่อมโยงความรู้กับชีวิตจริง และฝึกให้นักเรียนคิดให้บ่อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ให้ผู้เรียนเข้าใจว่าความรู้ไม่ได้จำกัดอยู่แต่ในเฉพาะหนังสือเท่านั้น ครูยังควรเชื่อมช่องว่างระหว่างทฤษฎีและการปฏิบัติ ทำให้นักเรียนเกิดความชำนาญในเรื่องที่นักเรียนสนใจ โดยครูคอยให้คำปรึกษาช่วยเหลือในการปฏิบัติ และเชื่อมโยงสภาพชีวิตในชุมชนของนักเรียนกับความรู้ที่ศึกษาในโรงเรียน
3. ตั้งใจฟังนักเรียน ครูต้องรู้จักตั้งคำถาม สามารถตอบข้อสงสัยแก่นักเรียนได้ และควรระลึกอยู่เสมอว่านักเรียนแต่ละคนในชั้นเรียนมีความแตกต่างกัน ครูควรกระตุ้นการตอบสนองการเรียนรู้และการพัฒนาทักษะการสื่อสารให้แก่นักเรียนด้วย
4. ไม่จำเป็นต้องมีแผนการสอนตายตัว แต่ต้องยืดหยุ่น เปลี่ยนแปลงได้ มีการทดลองการสอนที่หลากหลาย และมั่นใจที่จะเผชิญกับสถานการณ์ในชั้นเรียนได้ทุกรูปแบบที่อาจจะไม่เป็นไปตามความคาดหวังนัก ครูควรปรับการสอนบ้างเมื่อมีวิธีการที่ช่วยให้นักเรียนบางคนเรียนรู้ได้ดีขึ้น และควรสร้างสมดุลระหว่างเนื้อหาและความยืดหยุ่นในการสอน
5. สร้างบรรยากาศที่เป็นกันเอง แต่ไม่ได้หมายความว่าการเรียนจะไม่มีสาระ การสอนที่มีประสิทธิภาพนั้นครูไม่จำเป็นจะต้องยืนอยู่หน้าชั้นตลอดเวลา หรือสายตาจับจ้องอยู่ที่เครื่องฉายแผ่นใสหรือสไลด์ในขณะที่บรรยาย ครูที่ดีต้องทำให้นักเรียนเกิดความรู้สึกมีส่วนร่วม เปรียบได้กับวาทยากรที่มีนักเรียนเป็นนักดนตรีซึ่งแต่ละคนมีความเชี่ยวชาญในเครื่องดนตรีแต่ละอย่างต่างกัน
6. มีอารมณ์ขัน พยายามอย่าทำตัวให้เครียด ครูควรเล่าเรื่องตลกให้นักเรียนฟังบ้าง การมีอารมณ์ขันจะช่วยทลายกำแพงระหว่างครูกับนักเรียนได้ ครูควรเรียนรู้ที่จะผ่อนคลายบรรยากาศในห้องเรียน และต้องระลึกเสมอว่า ครูก็เป็นมนุษย์ธรรมดาเหมือนกับนักเรียน ที่มีข้อบกพร่องและสามารถกระทำผิดได้เหมือนกัน
7. เตรียมตัวให้พร้อม มีความเอาใจใส่ และอุทิศเวลาให้แก่การค้นคว้าหาวิธีถ่ายทอดความรู้ด้านต่างๆ ให้แก่นักเรียน ครูดีต้องมีการเตรียมการสอนมาอย่างดี มีสื่อการสอนที่พร้อมและวิธีการสอนที่น่าสนใจ ทั้งหมดนี้หมายความว่าครูจะต้องทำงานหนักนอกเวลาด้วย
8. ต้องได้รับการสนับสนุนอย่างจริงจังจากผู้บริหาร ทั้งในด้านทรัพยากร และบุคลากร ผู้บริหารควรให้การเสริมแรงครูอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เกิดกำลังใจในการปฏิบัติหน้าที่ และสามารถทำงานได้อย่างปราศจากอุปสรรคปัญหา
9. รู้จักทำงานร่วมกับเพื่อนครู เพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์การจัดการเรียนการสอน ตลอดจนการแก้ปัญหาต่างๆ ของครูแต่ละคน
10. มีจินตนาการ จะเป็นครูที่ดีได้ จะต้องรู้จักหัดใช้จินตนาการบ้าง เพราะจะมีผลต่อความคิดริเริ่มใหม่ๆ ลองจ้องไปที่นักเรียนแถวหลังสุด นึกถึงเส้นประสาทที่เชื่อมต่อกันและประกอบกันเป็นรูปร่างรวมตัวเป็นมนุษย์ การเรียนรู้ของคนเราคงจะพัฒนาไปเรื่อยๆ อย่างไม่หยุดยั้ง หากครูไม่หยุดนิ่งที่จะเรียนรู้และพัฒนาความสามารถของทั้งตนเองและนักเรียนไปพร้อมๆ กัน ครูคือวิศวกรสังคม ที่มีส่วนสำคัญยิ่งในการสร้างคนรุ่นใหม่ที่สมบูรณ์ขึ้นมา
ที่มาข้อมูล : http://www.newschool.in.th
เทคนิคการเรียนที่ดี
เทคนิคการเรียนที่ดี
1. อ่านหนังสือตอนเช้าๆ จะช่วยในการจดจำได้เยอะจร้า เพราะว่าตอนเช้าสมองของเราปลอดโปร่ง ถ้าเทียบกับตอนเย็น หรือตอนดึกๆ เนื่องจากสมองของเราผ่านอะไรมามากมายแล้ว สู้รบปรบมือกันมาทั้งวัน
2. รู้มั้ยว่า การยืนอ่านหนังสือ ช่วยในการจดจำมากกว่า การนั่งอ่านหนังสืออีกนะจะบอกให้แล้วอีกอย่างช่วยกันการหลับคาหนังสืออีกด้วย
3. การจดโน๊ต ให้ดูสะอาดตาสวยงาม จะเป็นสิ่งดีมากๆ เนื่องจากลายมือที่สวยและเป็นระเบียบ จะช่วยในการจดจำได้เป็นอย่างดีเลยหล่ะ ถ้าบอกแบบนี้ เราควรใช้กระดาษสีขาว และปากกาหมึกสีดำ ช่วยให้อักษรมีความชัดเจน และมีพลังเยี่ยมยอดเมื่อบวกกับสีขาวในกระดาษที่เป็นช่องว่างอยู่ การเรียบเรียงตัวอักษร เราควรที่จะจดแบบให้มีการเคลื่อนไหว แทนที่จะจดแบบ
แนวนอน เรียงยาวแบบธรรมดาๆ ก็คือการจดแบบเป็นกลอน แทนที่จะจดให้มันเป็นพรืดยาว จนเอียน การจดแบบนี้ ทำให้เมื่อยสายตา เพราะเราต้องใช้สายตากวาดทอดยาวไป ทำให้เมื่อยล้าสายตาอย่างยิ่ง ทำให้เลิกอ่านกันไปดื้อๆแต่การที่เราจดแบบกลอน มันช่วยให้สายตาของเราไม่ล้า ทำให้เราอ่านหนังสือได้มากขึ้น และจำได้รวดเร็วกว่าเดิม ไม่ต้องมาอ่านซ้ำหลายๆ รอบเหมือนแต่ก่อน
4. การจดอีกแบบนึง ก็คือ การจดแบบ mind mapping การจดแบบนี้ หลายๆ คนคงจะคุ้นเคยกันดี คือ การ มีคีย์เวิร์ดชื่อเรื่องไว้ตรงกลาง แล้วแตกสาขากิ่งก้านหัวข้อย่อยๆ ออกมา ขอย้ำนิดนึงว่า ควรจะใช้คำสั้นๆ ที่สำคัญๆ เพื่อง่ายต่อการจดจำ และไม่น่าเบื่อ
5. การเรียนแบบจับคู่ ควรที่จะมีคู่หู 1 คนในการเรียนเพื่อแชร์ความรู้ที่แต่ละคนได้มา และโต้เถียงความรู้กันอยู่บ่อยๆ ซึ่งวิธีนี้ก็ได้ผลดีเช่นกัน ทำให้การเรียนมีสีสัน และเกิดความตื่นตัวอีกด้วย
6. การอ่านหนังสือเสียงดัง หรือโยกตัว โยกขา การอ่านแบบมีจังหวะจะโคน ช่วยในการจดจำด้วย เพราะว่าเราได้ใช้ประสาทสัมผัสส่วนต่างๆ
7. อ่าน 1 ชั่วโมงที่รู้สึกว่าตั้งใจ มีความสุข หรือมีพลังในการอ่าน การเรียนรู้ ดีกว่าอ่าน 5 ชั่วโมงที่อ่อนล้าซะอีก แทนที่จะความรู้ แต่กลับไม่ได้อะไรเลย
8. เวลาที่คนเรามีความสุข คลื่นสมองของเราจะเรียนรู้ได้เร็ว และดีกว่าตอนที่เครียด
9. ควรที่จะหมั่นทบทวนในสิ่งต่างๆ บ่อยๆ เพราะการย้ำคิดย้ำทำ หรือการทำซ้ำนั้น ช่วยเราได้มากเลย
เพื่อนๆ ลองเอาไปทำดูนะ สู้ๆ ทุกคน เพื่อนอนาคตที่สดใสของเรา
2. รู้มั้ยว่า การยืนอ่านหนังสือ ช่วยในการจดจำมากกว่า การนั่งอ่านหนังสืออีกนะจะบอกให้แล้วอีกอย่างช่วยกันการหลับคาหนังสืออีกด้วย
3. การจดโน๊ต ให้ดูสะอาดตาสวยงาม จะเป็นสิ่งดีมากๆ เนื่องจากลายมือที่สวยและเป็นระเบียบ จะช่วยในการจดจำได้เป็นอย่างดีเลยหล่ะ ถ้าบอกแบบนี้ เราควรใช้กระดาษสีขาว และปากกาหมึกสีดำ ช่วยให้อักษรมีความชัดเจน และมีพลังเยี่ยมยอดเมื่อบวกกับสีขาวในกระดาษที่เป็นช่องว่างอยู่ การเรียบเรียงตัวอักษร เราควรที่จะจดแบบให้มีการเคลื่อนไหว แทนที่จะจดแบบ
แนวนอน เรียงยาวแบบธรรมดาๆ ก็คือการจดแบบเป็นกลอน แทนที่จะจดให้มันเป็นพรืดยาว จนเอียน การจดแบบนี้ ทำให้เมื่อยสายตา เพราะเราต้องใช้สายตากวาดทอดยาวไป ทำให้เมื่อยล้าสายตาอย่างยิ่ง ทำให้เลิกอ่านกันไปดื้อๆแต่การที่เราจดแบบกลอน มันช่วยให้สายตาของเราไม่ล้า ทำให้เราอ่านหนังสือได้มากขึ้น และจำได้รวดเร็วกว่าเดิม ไม่ต้องมาอ่านซ้ำหลายๆ รอบเหมือนแต่ก่อน
4. การจดอีกแบบนึง ก็คือ การจดแบบ mind mapping การจดแบบนี้ หลายๆ คนคงจะคุ้นเคยกันดี คือ การ มีคีย์เวิร์ดชื่อเรื่องไว้ตรงกลาง แล้วแตกสาขากิ่งก้านหัวข้อย่อยๆ ออกมา ขอย้ำนิดนึงว่า ควรจะใช้คำสั้นๆ ที่สำคัญๆ เพื่อง่ายต่อการจดจำ และไม่น่าเบื่อ
5. การเรียนแบบจับคู่ ควรที่จะมีคู่หู 1 คนในการเรียนเพื่อแชร์ความรู้ที่แต่ละคนได้มา และโต้เถียงความรู้กันอยู่บ่อยๆ ซึ่งวิธีนี้ก็ได้ผลดีเช่นกัน ทำให้การเรียนมีสีสัน และเกิดความตื่นตัวอีกด้วย
6. การอ่านหนังสือเสียงดัง หรือโยกตัว โยกขา การอ่านแบบมีจังหวะจะโคน ช่วยในการจดจำด้วย เพราะว่าเราได้ใช้ประสาทสัมผัสส่วนต่างๆ
7. อ่าน 1 ชั่วโมงที่รู้สึกว่าตั้งใจ มีความสุข หรือมีพลังในการอ่าน การเรียนรู้ ดีกว่าอ่าน 5 ชั่วโมงที่อ่อนล้าซะอีก แทนที่จะความรู้ แต่กลับไม่ได้อะไรเลย
8. เวลาที่คนเรามีความสุข คลื่นสมองของเราจะเรียนรู้ได้เร็ว และดีกว่าตอนที่เครียด
9. ควรที่จะหมั่นทบทวนในสิ่งต่างๆ บ่อยๆ เพราะการย้ำคิดย้ำทำ หรือการทำซ้ำนั้น ช่วยเราได้มากเลย
เพื่อนๆ ลองเอาไปทำดูนะ สู้ๆ ทุกคน เพื่อนอนาคตที่สดใสของเรา
ข้อมูลจาก : www.thaigoodview.com
สาระดีๆติดตามได้ที่www.urrac.com/chanthaburi
วันศุกร์ที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2556
การแบ่งเซลล์แบบไมโอซิส
ไมโอซิสเป็นการแบ่งนิวเคลียสของเซลล์ที่เจริญเป็นเซลล์สืบพันธุ์ทั้งในเซลล์พืชและเซลล์สัตว์มีการ
เปลี่ยนแปลง 2 ครั้ง ติดต่อกันหลังจากแบ่งเซลล์เสร็จแล้วได้เซลล์ใหม่ 4 เซลล์ แต่ละเซลล์มีโครโมโซมเพียงครึ่งหนึ่งของเซลล์แม่ โครโมโซมของเซลล์ใหม่แต่ละเซลล์จึงเป็นแฮพลอยด์ (haploid) หรือ n โครโมโซม คือมีโครโมโซมเพียงชุดเดียวเท่านั้น เป็นการแบ่งเซลล์เพื่อสร้างเซลล์สืบพันธุ์
การแบ่งเซลล์แบบไมโอซิสครั้งแรกและครั้งที่สอง ประกอบด้วยระยะต่างๆ ดังนี้
การแบ่งเซลล์แบบไมโอซิสครั้งแรกและครั้งที่สอง ประกอบด้วยระยะต่างๆ ดังนี้
1 การแบ่งไมโอซิสครั้งแรก (meiosis I) มีระยะต่างๆ ดังนี้
![]() |
ระยะอินเตอร์เฟส I (interphase I) การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในระยะนี้มีการเตรียมสารต่างๆ เช่นโปรตีน เอนไซม์ เพื่อใช้ในระยะต่อไป จึงมี
เมแทบอลิซึมสูง มีนิวเคลียสใหญ่ มีการจำลองโครโมโซมใหม่แนบชิดกับโครโมโซมเดิมและเหมือนเดิมทุกประการ โครโมโซมเป็นเส้นบางยาวๆ พันกันเป็นกลุ่มร่างแห
|
![]() |
ระยะโพรเฟส I (prophase I)ใช้เวลานานและซับซ้อนมากที่สุด มีเหตุการณ์ที่สำคัญ คือ
- โครโมโซมหดสั้นเป็นแท่งหนาขึ้น - โครโมโซมคู่เหมือน (homologous chromosome) มาจับคู่กันเป็นคู่ๆ แนบชิดกันเรียก ไซแนพซิส(synapsis) คู่ของโครโมโซมแต่ละคู่เรียก ไบวาเลนท์ (bivalant) แต่ละโครโมโซมที่เข้าคู่กัน มี 2 โครมาทิด มีเซนโทรเมียร์ยึดไว้ ดังนั้น 1 ไบวาเลนท์มี 4 โครมาทิด - โครมาทิดที่แนบชิดกันเกิดมีการไขว้กัน เรียก การไขว้เปลี่ยน (crossing over) ตำแหน่งที่ไขว้ทับกัน เรียกไคแอสมา (chiasma) - เซนทริโอแยกไปยังขั้วเซลล์ทั้ง 2 ข้าง - มีเส้นใยสปินเดิล ยึดเซนโทรเมียร์ของแต่ละโครโมโซมกับขั้วเซลล์ - โครโมโซมหดตัวสั้นและหนามากขึ้น เยื่อหุ้มนิวเคลียสและนิวคลีโอลัสค่อยๆ สลายไป |
![]() |
ระยะเมทาเฟส I (mataphase I) แต่ละไบวาเลนท์ของโครโมโซม มาเรียงอยู่กลางเซลล์ เยื่อหุ้มนิวเคลียสและนิวคลีโอลัสสลายไปหมดแล้ว
|
![]() |
ระยะแอนาเฟส I (anaphase I) โครโมโซมคู่เหมือนที่จับคู่กัน ถูกแรงดึงจากเส้นใยสปินเดิลให้แยกตัวออกจากกันไปยังขั้วเซลล์ที่อยู่ตรงข้าม การแยกนั้นแยกไปทั้งโครโมโซมที่มี 2 โครมาทิด และการแยกโครโมโซมนี้มีผลทำให้การสลับชิ้นส่วนของโครมาทิดตรงบริเวณที่มีการไขว้เปลี่ยนช่วยทำให้เกิดการแปรผัน (variation) ของลักษณะต่างๆ ของสิ่งมีชีวิต ซึ่งมีประโยชน์ในแง่วิวัฒนาการจากการแยกกันของโครโมโซมไปยังขั้วเซลล์แต่ละข้างมีโครโมโซมเหลือเพียงครึ่งหนึ่งของเซลล์เดิม
|
![]() |
ระยะเทโลเฟส I (telophase I) ในระยะนี้จะมีโครโมโซม 2 กลุ่มแต่ละกลุ่มจะมีจำนวนโครโมโซมเพียงครึ่งหนึ่งของเซลล์เดิม แต่ละเซลล์มีโครโมโซมเป็นแฮพลอยด์
|
2 ไมโอซีส ครั้งที่ 2 (meiosis II)
ไมโอซีสครั้งที่ 2เกิดต่อเนื่องไปเลยไม่มีพักและผ่านระยะอินเทอร์เฟสไป ไม่มีการจำลอง
โครโมโซมใหม่อีก เริ่มมีการเปลี่ยนแปลงดังนี้
![]() |
ระยะโพรเฟส II (prophase II) แต่ละโครโมโซมในนิวเคลียส แยกเป็น 2 โครมาทิด มี เซนโทรเมียร์ยึดไว้ เซนทริโอลแยกออกไปขั้วเซลล์ทั้ง 2 ข้าง มีเส้นใยสปินเดิลยึด เซนโทรเมียร์กับขั้วเซลล์ เยื่อหุ้มนิวเคลียสและนิวคลีโอลัสสลายไป
|
![]() |
ระยะเมทาเฟส II (metaphase II) โครโมโซมทั้งหมดมารวมอยู่กลางเซลล์
|
![]() |
ระยะแอนาเฟส II (anaphase II) เส้นใยสปินเดิลหดตัวสั้นเข้าและดึงให้โครมาทิดของแต่ละโครโมโซมแยกออกจากกันไปขั้วเซลล์ตรงกันข้าม
|
![]() |
ระยะเทโลเฟส II (terophase II) เกิดนิวคลีโอลัส เยื่อหุ้มนิวเคลียสล้อมรอบ โครมาทิดกลุ่มใหญ่ แต่ละโครมาทิดก็คือ โครโมโซม นั้นเอง เมื่อจบการแบ่งเซลล์ในระยะเทโลเฟส 2 แล้วได้เซลล์ใหม่ 4เซลล์ แต่ละเซลล์มีโครโมโซมเป็นแฮพลอยด์
|
การแบ่งเซลล์แบบ mitosis
การแบ่งเซลล์
1.การแบ่งเซลล์แบบไมโทซิส ( mitosis)
ไมโทซิส (อังกฤษ: Mitosis) เป็นการแบ่งเซลล์แบบแบ่งตัวโดยตรง คือ นิวเคลียสค่อยๆ ยาวออกและเกิดคอดลงแล้วแบ่งไซโตพลาสซึมเป็น 2 ส่วนกลายเป็น 2 เซลล์ โดยทั้ง 2 เซลล์ต่างมีคุณสมบัติ
เหมือนเซลล์เดิม จำนวนโครโมโซม หลังการแบ่งจะเท่าเดิม (2n) เพราะไม่มีการแยกคู่ ของโฮโมโลกัสโครโมโซม การแบ่งเซลล์แบบนี้จะพบมากในสัตว์เซลล์เดียว

ระยะของไมโทซิส
- ระยะอินเตอร์เฟส (interphase) เป็นระยะที่กิจกรรมต่างๆของเซลล์เกิดขึ้นสูง มีการสร้างส่วนประกอบต่างๆของเซลล์เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการแบ่งตัว ใช้เวลา 90% ของชีวิตเซลล์ นั่นคือครอบคลุมตั้งแต่ระยะ G1 S(มีการเพิ่มจำนวนโครมาทิดในระยะนี้) และ G2(เป็นระยะที่เซลล์มีการสังเคราะห์สารต่างๆเพื่อเตรียมเข้าสู่กระบวนการแบ่งนิวเคลียส)
- ระยะโพรเฟส (prophase) ระยะนี้ในนิวเคลียส สารพันธุกรรมจะพันกันแน่นเข้าจนเริ่มเห็นเป็นรูปโครโมโซม เซนตริโอลเคลื่อนที่ไปยังแต่ละขั้วของเซลล์ เมื่อถึงช่วงสุดท้ายของระยะนี้ที่บางครั้งเรียกว่าโพรเมตาเฟส (prometaphase) จะมีการสร้างเส้นใยสปินเดิล (spindle fiber) ไปจับยังบริเวณไคนีโตคอร์ (kinetochore) ของโครโมโซม เยื่อหุ้มนิวเคลียสสลายไป
- ระยะเมตาเฟส (metaphase) เส้นใยไมโตติก สปินเดิลสร้างเสร็จสมบูรณ์ โครโมโซมเรียงตัวตรงกลางเซลล์
- ระยะอะนาเฟส (anaphase) ซิสเตอร์ โครมาติด (sister chromatid) ของโครโมโซมแต่ละอันถูกดึงแยกจากกันไปยังขั้วของเซลล์ การดึงนี้ใช้พลังงาน ATP ระยะนี้สิ้นสุดเมื่อโครโมโซมทั้งหมดไปถึงขั้วของเซลล์
- ระยะเทโลเฟส (telophase) และการแบ่งไซโตพลาสซึม (cytokinesis) เป็นระยะที่ตรงข้ามกับโพรเฟส คือโครโมโซมคลายตัวเป็นเส้นใยโครมาตินเหมือนเดิม มีการสร้างเยื่อหุ้มนิวเคลียสขึ้นอีกครั้ง จากนั้นจึงตามมาด้วยการแบ่งไซโตพลาสซึม ถ้าเป็นในเซลล์พืช จะมีการสร้างผนังเซลล์ขึ้นใหม่ตรงกลางเซลล์ เมื่อผนังเซลล์ใหม่ชนกับผนังเซลล์เดิมจะได้เซลล์ลูก 2 เซลล์
Carbon Footprint
ครคาร์บอนฟุตพริ้นท์ หมายถึง ปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ปล่อยออกมาจากผลิตภัณฑ์แต่ละหน่วย ตลอดวัฏจักรชีวิตของผลิตภัณฑ์ ตั้งแต่กา
รได้มาซึ่งวัตถุดิบ การขนส่ง การประกอบชิ้นส่วน การใช้งานและการจัดการซากผลิตภัณฑ์หลังใช้งาน โดคาภคได้ทราบว่า ตลอดวัฎจักรชีวิตของผลิตภัณฑ์เหล่านั้น มีการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกออกมาปริมาณเท่าไหร่ คาดกันว่าคาร์บอนฟุตพริ้
| |||||
![]() | ![]() |
![]() | ![]() | ||||||
| |||||||
![]() | ![]() |
![]() | ![]() | ||||||
| |||||||
![]() | ![]() |
![]() | ![]() | ||||||
| |||||||
![]() | ![]() |
![]() | ![]() | ||||||
| |||||||
![]() | ![]() |
นท์จะช่วยในการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภคและกระตุ้นให้ผู้ประกอบการปรับเปลี่ยนเทคโนโลยีในการผลิตให้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากยิ่งขึ้น และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลกด้วย หลังจากที่หลายประเทศอผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ นั้น เป็นการแสดงข้อมูลให้ผู้บริโภคได้ทราบว่า ตลอดวัฎจักรชีวิตของผลิตภัณฑ์เหล่านั้น มีการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกออกมาปริมาณเท่าไหร่ คาดกันว่าคาร์บอนฟุตพริ้นท์จะช่วยในการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภคและกระตุ้นให้ผู้ประกอบการปรับเปลี่ยนเทคโนโลยีในการผลิตให้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากยิ่งขึ้น และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลกด้วย หลังจากที่หลายประเทศได้มีการนำคาร์บอนฟุตพริ้นท์มาใช้แล้ว เช่น อังกฤษ ฝรั่งเศส แคนาดา ญี่ปุ่นและเกาหลี เป็นต้น ได้มีการเรียกร้องให้สินค้าที่นำเข้าจากต่างประเทศติดเครื่องหมายคาร์บอนฟุตพริ้นท์ด้วยอนฟุตพริ้นท์ หมายถึง ปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ปล่อยออกมาจากผลิตภัณฑ์แต่ละหน่วย ตลอดวัฏจักรชีวิตของผลิตภัณฑ์ ตั้งแต่การได้มาซึ่งวัตถุดิบ การขนส่ง การประกอบชิ้นส่วน การใช้งานและการจัดการซากผลิตภัณฑ์หลังใช้งาน โดยคำนวณออกมาในรูปของคาร์บอนไดอ๊อกไซด์เทียบเท่า ฉลากคาร์บอนฟุตพริ้นท์ที่จะติดบนสินค้าหรือผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ นั้น เป็นการแสดงข้อมูลให้ผู้บริโภคได้ทราบว่า ตลอดวัฎจักรชีวิตของผลิตภัณฑ์เหล่านั้น มีการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกออกมาปริมาณเท่าไหร่ คาดกันว่าคาร์บอนฟุตพริ้นท์จะช่วยในการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภคและกระตุ้นให้ผู้ประกอบการปรับเปลี่ยนเทคโนโลยีในการผลิตให้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากยิ่งขึ้น และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลกด้วย หลังจากที่หลายประเทศได้มีการนำคาร์บอนฟุตพริ้นท์มาใช้แล้ว เช่น อังกฤษ ฝรั่งเศส แคนาดา ญี่ปุ่นและเกาหลี เป็นต้น ได้มีการเรียกร้องให้สินค้าที่นำเข้าจากต่างประเทศติดเครื่องหมายคาร์บอนฟุตพริ้นท์ด้วยในรูปของคาร์บอนไดอ๊อกไซด์เทียบเท่า ฉลากคาร์บอนฟุตพริ้นท์ที่จะติดบนสินค้าหรือผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ นั้น เป็นการแสดงข้อมูลให้ผู้บริโภคได้ทราบว่า ตลอดวัฎจักรชีวิตของผลิตภัณฑ์เหล่านั้น มีการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกออกมาปริมาณเท่าไหร่ คาดกันว่าคาร์บอนฟุตพริ้นท์จะช่วยในการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภคและกระตุ้นให้ผู้ประกอบการปรับเปลี่ยนเทคโนโลยีในการผลิตให้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากยิ่งขึ้น และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลกด้วย หลังจากที่หลายประเทศได้มีการนำคาร์บอนฟุตพริ้นท์มาใช้แล้ว เช่น อังกฤษ ฝรั่งเศส แคนาดา ญี่ปุ่นและเกาหลี เป็นต้น ได้มีการเรียกร้องให้สินค้าที่นำเข้าจากต่างป คาร์บอนฟุตพริ้นท์ หมายถึง ปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ปล่อยออกมาจากผลิตภัณฑ์แต่ละหน่วย ตลอดวัฏจักรชีวิตของผลิตภัณฑ์ ตั้งแต่การได้มาซึ่งวัตถุดิบ การขนส่ง การประกอบชิ้นส่วน การใช้งานและการจัดการซากผลิตภัณฑ์หลังใช้งาน โดยคำนวณออกมาในรูปของคาร์บอนไดอ๊อกไซด์เทียบเท่า ฉลากคาร์บอนฟุตพริ้นท์ที่จะติดบนสินค้าหรือผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ นั้น เป็นการแสดงข้อมูลให้ผู้บริโภคได้ทราบว่า ตลอดวัฎจักรชีวิตของผลิตภัณฑ์เหล่านั้น มีการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกออกมาปริมาณเท่าไหร่ คาดกันว่าคาร์บอนฟุตพริ้นท์จะช่วยในการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภคและกระตุ้นให้ผู้ประกอบการปรับเปลี่ยนเทคโนโลยีในการผลิตให้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากยิ่งขึ้น และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลกด้วย หลังจากที่หลายประเทศได้มีการนำคาร์บอนฟุตพริ้นท์มาใช้แล้ว เช่น อังกฤษ ฝรั่งเศส แคนาดา ญี่ปุ่นและเกาหลี เป็นต้น ได้มีการเรียกร้องให้สินค้าที่นำเข้าจากต่างประเทศติดเครื่องหมายคาร์บอนฟุตพริ้นท์ด้วยระเทศติดเครื่องหมายคาร์บอนฟุตพริ้นท์ด้วย
แรงบันดาลใจ
จากใจครูน้อย... ครูผู้ให้ ของลูกศิษย์เด็กพิเศษ

เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก Be Magazine
"ครูจะทำไปเรื่อย ๆ ถ่ายทอดความรู้ทั้งหมด สอนทุกอย่างให้เต็มที่ ครูเคยรับมาแบบไหน ครูจะนำประสบการณ์ที่ดีมาบ่มเพาะให้กับลูกศิษย์แบบนั้น เพราะครูเชื่อว่าคุณค่าเหล่านี้ มันยิ่งกว่าทุกสิ่งทุกอย่างบนโลก เพราะเป็นสิ่งที่เงินซื้อไม่ได้"
คำพูดข้างต้น เป็นคำมั่นสัญญาที่ "ครูน้อย" ดาราน้อย จันดี คุณครูสอนภาษาอังกฤษ ประจำโรงเรียนศรีสังวาลย์ (ปากเกร็ด) บอกกับพวกเรา...
เมื่อได้ยินชื่อ "โรงเรียนศรีสังวาลย์ (ปากเกร็ด)" ก็คงจะพอทราบว่า โรงเรียนแห่งนี้เป็นโรงเรียนที่ให้การศึกษากับเด็กพิเศษที่มีความหลากหลาย แต่คงไม่มีใครคาดคิดว่า แม้แต่ "ครูน้อย" ที่ทำหน้าที่เป็นเรือจ้างสอนสั่งลูกศิษย์ในโรงเรียนแห่งนี้ ก็ยังเป็นคนที่มีความพิเศษด้วยเหมือนกัน นั่นเพราะครูน้อยเป็นโรคโปลิโอมาตั้งแต่อายุ 3 ขวบ ต้องใช้ชีวิตอยู่บนรถเข็นมาตั้งแต่วัยเยาว์ จนเมื่อโตขึ้นมาหน่อย ชีวิตของครูน้อยก็ยังต้องเจอกับนาทีแห่งความเฉียดตาย เมื่อเธอจำเป็นต้องเข้ารับการผ่าตัดสมองถึง 2 ครั้ง
"ตอนนั้นคิดเหมือนกันว่าจะไม่รอด ต้องเรียนไม่จบแน่ ๆ คุณหมอยังบอกกับพ่อของครูให้มาร่ำลา เพราะบางทีลูกคุณอาจจะจำอะไรไม่ได้ คุณหมอเกรงว่าหลังจากผ่าตัดแล้วจะมีผลกระทบกระเทือนเรื่องความทรงจำ และการเคลื่อนไหวของเรา ตอนแรกเตรียมใจไว้เหมือนกัน เพราะผ่าตัดครั้งแรกหมอทำ MRI ก็เจอก้อนเนื้อที่ท่อน้ำเลี้ยงสมอง ทุกคนลงความเห็นหมดว่า ผ่านมาได้อย่างไร เพราะมันเสี่ยงมาก" ครูน้อย เล่าถึงวินาทีแห่งความเป็นความตาย

นับเป็นโชคดีที่การผ่าตัดครั้งนั้นของครูน้อยผ่านพ้นไปได้ด้วยที ทำให้ทุกวันนี้ "ครูน้อย" จึงได้มีโอกาสทำหน้าที่แม่พิมพ์ของชาติด้วยความรัก และความเข้าใจที่มีต่อลูกศิษย์ของเธอ ครูน้อยบอกว่าการสอนเด็กพิเศษไม่ใช่เรื่องยาก เพียงแต่ต้องให้ความสนใจ และทำความเข้าใจในตัวเด็ก ๆ แต่ละคน ที่สำคัญต้องใช้ความอดทนสูงมาก เพื่อรอให้เด็กค่อย ๆ เข้าใจ ค่อย ๆ ปรับตัว และต้องพูดดี ๆ กับเขา ชมเขาบ้าง ให้รางวัลตอบแทนเขาบ้าง
นอกเหนือจากการสอนสั่งทางวิชาการแล้ว ครูน้อยยังเป็นผู้เข้าไปเติมเต็มเรื่องการใช้ชีวิตให้กับเด็ก ๆ และสอนให้เด็ก ๆ ช่วยเหลือตัวเอง เพื่อมีชีวิตอยู่ในสังคมให้ได้ โดยครูน้อยเชื่อว่า สิ่งเหล่านี้มีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าการให้ความรู้ทางวิชาการเลย นั่นเพราะเมื่อใดที่เด็กพิเศษกลุ่มนี้ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ หรือไม่สามารถยอมรับในสิ่งที่ตัวเองเป็นได้ ความเป็นวิชาการจะไม่แสดงผลลัพธ์ใด ๆ แต่ถ้าเด็กพร้อมจะเปิดรับในวันใดวันหนึ่ง เด็กและคุณครูก็จะได้เรียนรู้ไปด้วยกัน และมีศักยภาพเพียงพอที่จะพัฒนาเด็กแต่ละคน
"อยากให้ทุกคนมองเป็นเรื่องปกติ เพราะเด็ก ๆ เขาช่วยเหลือตัวเองได้ทุกอย่าง ไม่ต้องแปลกใจกับสิ่งที่เด็กเหล่านี้ทำ วางเฉยเป็นกลางก็พอ เหมือนไปโรงเรียนอื่นปกติ อยากให้สังคมมองแบบนี้" ครูน้อย บอก

และบุคคลหนึ่งที่ทำให้ครูน้อยมีแรงกายแรงใจที่จะทำเพื่อเด็ก ๆ ก็คือ สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนาฯ ซึ่งครูน้อยเคยมีโอกาสได้เข้าเฝ้าฯ ต่อหน้าพระพักตร์ ครั้งนั้น สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอได้ทรงรับครูน้อยมารักษาตัวที่มูลนิธิอนุเคราะห์คนพิการ โดยพระองค์ได้มอบเงินก้อนหนึ่งไว้ให้เด็กพิการนำไปใช้พัฒนาด้านการศึกษา การกีฬา หรือกิจกรรมที่จะช่วยพัฒนาคุณภาพชีวิต ในตอนนั้น ครูน้อยได้ตัดสินใจขอทุนพระราชทานจากเงินส่วนนี้ นำไปศึกษาต่อระดับปริญญาโท ด้านครุศาสตร์ เพื่อนำความรู้ที่เล่าเรียนมากลับมาสอนเด็กพิเศษที่โรงเรียนศรีสังวาลย์ (ปากเกร็ด) เพื่อเป็นการตอบแทนบุญคุณสถานที่อบรมบ่มนิสัยของครูน้อยมาตั้งแต่เล็ก ๆ
"ที่ครูมีทุกวันนี้ได้ เพราะได้รับโอกาสจากสมเด็จพระพี่นางฯ นอกจากท่านจะเมตตา ท่านยังสอนให้เป็นคนดี และปลูกฝังเรื่องการตอบแทนพระคุณให้กับเด็ก ๆ" ครูน้อย เล่าถึงบุคคลในดวงใจ
เมื่อถามครูน้อยว่า รู้สึกเหนื่อยบ้างไหมที่สภาพร่างกายของตัวเองไม่เหมือนคนทั่วไป และยังมีภาระหนักอึ้งที่ต้องทำ ครูน้อย บอกทันทีเลยว่า ไม่รู้สึกเหนื่อยอะไรกับสิ่งที่ทำอยู่ทุกวันนี้ เพราะยังมีผู้ปกครองหลายคนที่ต้องดูแลลูกซึ่งเป็นเด็กพิเศษลำบากลำบนว่าเธอหลายเท่านัก อีกทั้งเด็ก ๆ หลายคนยังมองครูเป็นต้นแบบที่ดีในอนาคตของพวกเขาด้วย
"มีเด็กผู้หญิงคนหนึ่งเป็นเด็กพิเศษเรียนจบไปแล้ว แม่ของเขาบอกกับเราว่า ลูกเขาอยากเป็นครูเหมือนครูน้อย จะรับปริญญาแบบครูน้อย น้องบอกกับแม่เขาเสมอว่า หนูจะต้องทำให้ได้ หนูยังฝันอยู่ว่าอยากเป็นเหมือนครูน้อย ย่าของเขาเคยถามว่าโตขึ้นอยากเป็นอะไร เขาตอบว่าอยากเป็นครู ย่าเขาบอกว่าจะเป็นได้เหรอนั่งรถเข็น น้องเขาตอบทันทีว่า เป็นได้สิ ครูดาราน้อยเขาก็นั่งรถเข็นเหมือนกัน... เราก็รู้สึกภูมิใจนะ ว่าอย่างเราก็สามารถเป็นต้นแบบที่ดีให้เด็กคนหนึ่งได้" ครูน้อย บอกด้วยความภาคภูมิใจ
แม่พิมพ์ของชาติผู้นี้ยังบอกอีกด้วยว่า ทุกวันนี้ เธอไม่เคยคิดเรื่องจะกลับมาเดินได้อีกแล้ว เพราะสามารถช่วยเหลือตัวเองได้ช่วยเหลือลูกศิษย์ได้ แค่นี้เธอก็มีความสุขมากพอแล้ว ที่สำคัญ เธอยังภูมิใจมากที่ความมุ่งมั่นตั้งใจของเธอยังเป็นกำลังใจให้พ่อแม่ของเด็กหลาย ๆ คนได้อีกด้วย
"ถ้าถามว่าวันนี้เหนื่อยไหม เราคิดว่าไม่เลยนะ เพราะสิ่งที่ผ่านมาลำบากกว่านี้มาก แต่ผ่านมาได้ก็คือที่สุดแล้ว วันนี้คือวันที่ฉันผ่อน ฉันคลาย ฉันทอดไป วันนี้คือวันที่วิเศษที่สุดแล้ว"คำพูดทิ้งท้ายของครูน้อยที่บ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่า ณ เวลานี้ เธอได้ทำหน้าที่แม่พิมพ์ของชาติอย่างสมเกียรติ และเต็มความภาคภูมิของชีวิตแล้ว
ห่วงโซ่อาหาร และ สายใยอาหาร


โดย ครูสุภาภรณ์ ชูศรีพัฒน์



หมายถึง ความสัมพันธ์ของสิ่งมีชีวิตในเรื่องของการกินต่อกันเป็นทอด ๆ จาก ผู้ผลิตสู่ผู้บริโภค ทำให้มีการถ่ายทอดพลังงานในอาหารต่อเนื่องเป็นลำดับจากการกินต่อกัน
ตัวอย่าง เช่น 


จากแผนภาพ จะสังเกตเห็นว่า การกินต่อกันเป็นทอด ๆ ในห่วงโซ่อาหารนี้ เริ่มต้นที่ ต้นข้าว ตามด้วยตั๊กแตนมากินใบของต้นข้าว กบมากินตั๊กแตน และ เหยี่ยวมากินกบ ซึ่งจากลำดับขั้นในการกินต่อกันนี้ สามารถอธิบายได้ว่า

ต้นข้าว นับเป็นผู้ผลิตในห่วงโซ่อาหารนี้ เนื่องจากต้นข้าว เป็นพืชซึ่งสามารถสร้างอาหารได้เองโดยใช้กระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสง

ตั๊กแตน นับเป็นผู้บริโภคลำดับที่ 1 เนื่องจาก ตั๊กแตนเป็นสัตว์ลำดับแรกที่บริโภคข้าวซึ่งเป็นผู้ผลิต

กบ นับเป็นผู้บริโภคลำดับที่ 2 เนื่องจาก กบจับตั๊กแตนกินเป็นอาหาร หลังจากที่ตั๊กแตนกินต้นข้าวไปแล้ว

เหยี่ยว เป็นผู้บริโภคลำดับสุดท้าย เนื่องจาก เหยี่ยวจับกบกินเป็นอาหาร และในโซ่อาหารนี้ไม่มีสัตว์อื่นมาจับเหยี่ยวกินอีกทอดหนึ่ง






หมายถึง ห่วงโซ่อาหารหลาย ๆ ห่วงโซ่ ที่มีความคาบเกี่ยวหรือสัมพันธ์กัน นั่นคือ ในธรรมชาติการกินต่อกันเป็นทอด ๆ ในโซ่อาหาร จะมีความซับซ้อนกันมากขึ้น คือ มีการกินกันอย่างไม่เป็นระเบียบ
ตัวอย่าง เช่น 





สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)